節分 (setsubun) เซ็ตสึบุน คือ เทศกาลญี่ปุ่นที่คนส่วนใหญ่จะจดจำได้ในภาพคนปาถั่วไล่ยักษ์พร้อมพูดว่า 「 鬼は外 福は内 – oni wa soto fuku wa uchi 」 “ยักษ์ร้ายจงออกไป โชคลาภจงเข้ามา”
แต่ความน่าสนใจของเทศกาลเซ็ตสึบุนไม่ได้มีแค่หน้ากากยักษ์กับถั่วเหลืองเท่านั้น ยังมีอาหารที่มีน่าทานและความหมายที่แท้จริงของเทศกาลเซ็ตสึบุนด้วยครับ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเทศกาลปาถั่ว เทศกาลญี่ปุ่นที่มีคนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเทศกาลนี้ผิดกันครับ
เซ็ตสึบุน เทศกาลญี่ปุ่นที่มีภาพจำเด่นชัด

เซ็ตสึบุน ถือว่าเป็นหนึ่งในเทศกาลที่เรามีโอกาสได้เห็นทั้งในการ์ตูนและภาพยนตร์ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นฉากเด็กไล่ปาถั่วใส่คนสวมหน้ากากยักษ์ที่โผล่มาสั้น ๆ ก็ตาม แต่เพราะฉากแบบนั้นทำให้มันกลายเป็นภาพจำที่ทำคนต่างประเทศเข้าใจผิดว่า เซ็ตสึบุน คือเทศกาลสำหรับปาถั่ว จนบางคนก็ใช้เรียกแทนชื่อเทศกาลเซ็ตสึบุนไปเลยก็มี
อันที่จริงนอกจากการปาถั่วแล้ว อีกภาพจำที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดก็คือ คิดว่าเซ็ตสึบุนคือเทศกาลที่จะมีเฉพาะในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เรื่องนี้คนญี่ปุ่นบางส่วนเองก็เข้าใจผิดเหมือนกันครับ เนื่องจากส่วนใหญ่เขาจะจัดเทศกาลเซ็ตสึบุนกันในช่วงนั้นเสมอ
แต่ที่จริงแล้ว 節分 หมายถึง “การแบ่งฤดูกาล” หรือวันสุดท้ายของฤดูกาลนั่นเอง เนื่องจากญี่ปุ่นมีฤดูกาลอยู่ 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ดังนั้น “เซ็ตสึบุน” จึงมี 4 ครั้งต่อปีครับ

แล้วทำไมคนญี่ปุ่นจึงนิยมจัดเทศกาลเซ็ตสึบุนช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์?
คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ ต้อนรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป หลังจากเอาชนะฤดูหนาวอันโหดร้ายมาได้นั่นเองครับ
ดังนั้นเทศกาลเซ็ตสึบุนจึงนิยมจัดช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ในช่วงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิถือว่าเป็นวันแรกของการเริ่มต้นปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติ 「 旧暦 – kyuureki 」 จึงถือว่าเป็นวันมงคลอย่างยิ่งสำหรับการจัดเทศกาลเซ็ตสึบุนครับ
ที่มาและความเชื่อ

ต้นกำเนิดของเทศกาลเซ็ตสึบุนมาจากงานพิธีของจีนโบราณที่มีชื่อว่าซุยนะ 「 追儺 – ついな – tsuina 」 มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า 「 おにやらい – oniyarai」
ซุยนะ เป็นพิธีขับไล่วิญญาณชั่วร้ายด้วยลูกธนูและคันศรที่ทำจากไม้พีช โดยญี่ปุ่นได้รู้จักพิธีนี้ในสมัยนารา และได้ยอมรับให้เป็นหนึ่งในกิจกรรมในราชสำนักในสมัยเฮอัน ก่อนจะถูกยกเลิกไปในช่วงต้นยุคสมัยเอโดะ

แต่ก็ยังคงมีการสืบทอดประเพณีนี้ต่อกันมาเป็นเทศกาลเซ็ตสึบุน โดยจัดขึ้นตามศาลเจ้าและวัดต่าง ๆ รวมถึงในหมู่ชาวบ้านทั่วไปด้วย พร้อมกับความเชื่อที่ว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลจะมีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายออกมาอาละวาด
ความเชื่อและประเพณีนั้นได้ส่งต่อมาถึงปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นจึงยังคงจัดพิธีกรรมเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและอัญเชิญสิ่งดี ๆ เข้าบ้าน ด้วยการขว้างถั่วพร้อมตะโกน 「 鬼は外 福は内 – oni wa soto fuku wa uchi 」 “ยักษ์ร้ายจงออกไป โชคลาภจงเข้ามา”
ทำไมต้องปาถั่ว

ถ้านึกถึง เซ็ตสึบุน จะต้องนึกถึง 豆まき – mamemaki หรือการปาถั่ว ที่เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลนี้ เพราะคำว่า ถั่ว 「 豆 – mame」 ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 「 魔滅 – まめつ – mametsu 」 ที่แปลว่า “ทำลายปีศาจ”
ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงเชื่อกันว่าถั่วมีพลังในการไล่ภูติผีได้ เพราะอย่างนั้นการโยนถั่วจึงเป็นการทำพิธีเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ถึงแม้ในปัจจุบันการปาถั่วใส่คนสวมหน้ากากยักษ์จะกลายเป็นเหมือนการละเล่นสำหรับเด็ก ๆ ไปแล้วก็ตาม
กิจกรรมสำคัญของเทศกาลเซ็ตสึบุน
ปาถั่ว 豆まき

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น กิจกรรมที่ขาดไม่ได้คือ ปาถั่ว ที่เป็นกิจกรรมหลักของเทศกาลนี้ โดยจะเริ่มจากนำถั่วเหลืองคั่วใส่ลงในชามแล้วนำไปถวาย แต่ถ้าไม่มีที่บูชา วิธีถวายแบบง่าย ๆ ของคนญี่ปุ่นก็คือการวางกระดาษขาวไว้เหนือระดับสายตา จากนั้นนำเกลือกับถั่วเหลืองคั่วไว้บนกระดาษ
มีความเชื่อกันว่าปีศาจจะมาในตอนกลางคืน ดังนั้นหลังจากถวายถั่วเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะกับการปาถั่วที่สุดจึงเป็นเวลากลางคืนครับ โดยปกติมักจะเริ่มจากห้องที่ไกลจากทางเข้าบ้านที่สุดก่อน โดยการปาเม็ดถั่วออกไปข้างนอกห้องพร้อมพูดว่า 「鬼は外 – oni wa soto – ยักษ์ร้ายจงออกไป」 แล้วปิดประตูหรือหน้าต่างทันทีเพื่อไม่ให้ปีศาจกลับเข้ามา
จากนั้นหันมาโยนถั่วเข้าห้องพร้อมพูดว่า 「福は内 – fuku wa uchi – โชคลาภจงเข้ามา」 เมื่อทำการโยนถั่วครบทุกห้องในบ้านแล้ว คนญี่ปุ่นก็จะทานถั่วจำนวนเท่ากับอายุบวก 1 ในขณะที่อธิษฐานขอให้มีสุขภาพดี เมื่อทำครบตามนี้แล้วก็แปลว่าเสร็จสิ้นกิจกรรมปาถั่ว

พอลองอ่านวิธีการปาถั่วแล้วรู้สึกยุ่งยากแถมไม่สนุกด้วยใช่ไหมครับ ดังนั้นในยุคปัจจุบันเพื่อลดขั้นตอนต่าง ๆ ลง กิจกรรมปาถั่วจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัวมาร่วมกันปาถั่วใส่ประตูหน้าบ้านหรือภายในบ้านพร้อมตะโกน “ยักษ์ร้ายจงออกไป โชคลาภจงเข้ามา” แทนครับ
หรือบางบ้านก็จะมีคนในครอบครัวสวมหน้ากากยักษ์มาให้เด็ก ๆ วิ่งไล่ปาถั่วใส่ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและสร้างบรรยากาศของเทศกาล อันที่จริงแม้แต่บางศาลเจ้าก็มีคนสวมชุดยักษ์เพื่อสร้างบรรยากาศให้กับงานเทศกาลด้วยเช่นกันครับ
เอโฮมากิ 恵方巻き

การทานเอโฮมากิ หรือ ซูชิโรลแบบยาว ในวันเซ็ตสึบุนกลายเป็นเรื่องต้องทำหากอยากจะโชคดี หรือสมหวังในความปรารถนา ถึงแม้แรกเริ่มเดิมทีความเชื่อในเรื่องการทานเอโฮมากิจะมาจากแผนการตลาดของผู้ผลิตสาหร่ายกับร้านขายซูชิในโอซาก้าก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของเทศกาลเซ็ตสึบุนไปแล้วครับ
เอโฮมากิเป็นซูชิโรลที่มีขนาดหนาและใหญ่ เนื่องจากมีไส้ข้างในถึง 7 ชนิด ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งความโชคดีทั้ง 7 ว่ากันว่าลักษณะของเอโฮมากิมีความคล้ายกับไม้กระบองของปีศาจด้วย ดังนั้นการทานไม้กระบองของปีศาจก็เหมือนกับการทำลายความชั่วร้ายนั่นเองครับ
ส่วนผสมในเอโฮมากิและความหมาย
1. คัมเปียว (かんぴょう) – เนื่องจากมันมีรูปร่างแบนและยาวจึงใช้อธิษฐานขอให้มีชีวิตยืนยาวและพบเจอเนื้อคู่

2. เห็ดชิตาเกะ (しいたけ) – มีรูปร่างคล้ายร่ม จึงสื่อถึงการปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย

3. ไข่หวานทามาโกะยากิ หรือไข่ม้วนดาเทะมากิ (卵焼き/伊達巻) – สีทองของไข่หมายถึงโชคลาภทางการเงิน และลักษณะการม้วนของไข่ม้วนมีความคล้ายม้วนกระดาษจึงใช้สื่อถึงการพัฒนาความรู้

4. ปลาไหล (うなぎ) – หมายถึงการเลื่อนขั้นในหน้าที่การงาน

5. ผงปลาซากุระ (桜でんぶ) – สื่อถึงฤดูใบไม้ผลิที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นฤกษ์มงคล

6. แตงกวา (きゅうり) – きゅう จากแตงกวาพ้องเสียงกับเลข 9 (きゅう) จึงหมายถึงการได้รับสิ่งดี ๆ 9 ประการ

7. กุ้ง (海老) – หมายถึงการขอให้มีชีวิตยืนยาวจนหลังงอเหมือนกุ้ง

กฏการทานเอโฮมากิในเทศกาลเซ็ตสึบุน

- เชื่อกันว่าหากตัดเอโฮมากิด้วยมีดจะกลายเป็นการตัดโชคลาภไปด้วย ดังนั้นควรทานทั้งชิ้นโดยไม่ตัดแบ่งครับ
- ในขณะที่ทานเอโฮมากิให้หันหน้าไปในทิศนำโชคประจำปีนั้น ๆ ซึ่งที่น่าสนใจคือ ทิศที่ต้องหันมันเปลี่ยนทุกปี และในปี 2025 ทิศนำโชคคือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้
- ทานเอโฮมากิแบบเงียบ ๆ พร้อมอธิษฐานในใจ โดยไม่พูดอะไรจนกว่าเอโฮมากิจะหมด เมื่อทานหมดแล้ว คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าความปรารถนาที่ขอจะเป็นจริงในปีนั้น
ในช่วงหลังมานี้ก็จะเริ่มเห็นเอโฮมากิใส่วัตถุดิบอื่น ๆ หรือบางชิ้นก็ใส่ไม่ครบทั้ง 7 อย่างด้วยนะครับ ส่วนเหตุผลนั้นคิดว่าอาจเป็นเพราะ ไม่ชอบ หรืออยากทานอย่างอื่นแทนบ้าง สำหรับบ้านที่ไม่เคร่งเรื่องพิธีการ การเปลี่ยนวัตถุดิบบ้างก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีครับ ถ้าต้องทานแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกปีก็คงเบื่อแย่เลย
สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องน่ารู้ของประเทศญี่ปุ่นหรืออยากรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงานในประเทศญี่ปุ่นสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางด้านล่างเลยนะครับ
สนใจการเรียนภาษาออนไลน์ สามารถดูคอร์สเรียนโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม ส.ส.ท. ได้ที่ www.tpaeduways.com